ไอติมกะทิ ภูมิปัญญาสุดยอด ของคนไทย ตอน2

ไอติมกะทิ ภูมิปัญญาสุดยอด ของคนไทย ตอน2


ครั้งที่แล้วเราติดค้างกันที่ว่า ทำไมไอติมกะทิแสนอร่อยของเรา เป็นไอติมเอกลักษณ์ไทย ใครๆก็ชอบกินทำไมถึงยังขยายตลาดไปได้ไม่ไกล

จากการสังเกตการณ์และศึกษาข้อมูลมาสักระยะหนึ่ง โดยส่วนตัวคิดว่า สิ่งที่น่าจะมีผลที่สุดคือกรรมวิธีการผลิต

เพราะถ้าจะพูดถึงการทำไอติมกะทิ ผู้ผลิตในท้องถิ่นส่วนใหญ่ ยังคงใช้วิธีแบบดั้งเดิม คือปั่นแบบโบราณ ใช้น้ำแข็งกับเกลือในการทำความเย็น ซึ่งหากใครเคยทำก็จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความชำนาญ และความเชี่ยวชาญมากเหมือนกัน และต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้ไอติมคุณภาพและอร่อยคงที่ในระดับที่ต้องการ เรียกว่าต้องดูแลคอยดูคอยเฝ้าประคบประหงมกันเลยทีเดียว การผลิตต่อครั้งก็ได้น้อย และใช้เวลาค่อนข้างมาก


บางเจ้าที่เป็นเจ้าอร่อยเก่าแก่ประจำอำเภอ ประจำจังหวัด ขายกันมา 2-3 ชั่วอายุคน  ไอติมอร่อยเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน  ขายดีมาก ทำมาเท่าไรก็ไม่พอขายก็ว่าได้  แต่ก็ขยายตลาดได้ไม่ไกลเท่าไหร่  เพราะส่วนใหญ่ติดที่กรรมการผลิตที่ว่ามาเบื้องต้น


นอกจากนี้ สมัยนี้มีไอติมเจ้าใหญ่จากต่างประเทศได้ลงมาแย่งส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น มีขายเต็มไปหมด ทั้งแบบแท่ง แบบถ้วย แบบตัก ดูๆแล้วเดี๋ยวนี้ รถขายไอติมแบบนี้มีมากกว่ารถขายไอติมกะทิบ้านเราเสียอีก ส่วนรสชาติ...ไม่ต้องพูดถึงก็งั้นๆ  ราคาก็สูงใช่เล่น แต่เด็กๆก็กินกันเพราะรู้จักแต่ไอติมแบบนี้ 

อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่อยากพูดถึง แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือเรื่องของความไม่มั่นใจในสุขอนามัยของไอติมและผู้ขายไอติม ผู้เขียนก็เป็นนักกินไอติมกะทิแบบตัวยง แต่ก็ยอมรับว่าบางครั้งไม่กล้ากินสุ่มสี่สุ่มห้า จะกินเฉพาะเจ้าที่เคยกินประจำเท่านั้น เพราะบางทีมีปัญหากับท้องไส้เอาได้ ซึ่งก็คิดว่าหลายๆคนก็เคยประสบปัญหาเดียวกัน และคิดแบบเดียวกันกับผู้เขียน 

สรุปแนวคิดของผู้เขียน...

ชื่อเสียงของไอติมกะทิอร่อยนั้น ไม่ได้มากันง่ายๆ ต่างก็สะสมประสบการณ์มาครั้งบรรพบุรุษ การทำไอติมแต่ละครั้งเต็มไปด้วยความตั้งใจ ความพิถีพิถัน ทั้งการเลือกวัตถุดิบ ที่ต้องดีที่สุด ความเอาใจใส่ในการผลิตทุกขั้นตอน มีความอดทน มี ใจรักในการทำไอติมอย่างยิ่ง เพราะเป็นธุรกิจที่เหนื่อยหนัก และต้องเอาใจใส่อย่างมาก ถึงจะคงคุณภาพและความอร่อยไว้ได้รุ่นต่อรุ่น...

หากตอนนี้จะให้คนกินไอติมกะทิ ให้มากขึ้นนั้น  เห็นว่าน่าจะต้องปรับระบบการผลิตกันใหม่ให้ทันสมัย มีมาตรฐานความสะอาดในการผลิตและการขาย  ผลิตโดยยึดตามกำหนดของกระทรวงสาธารณสุข แล้วประกาศออกไปว่าเราผ่านการรับรองมาตรฐาน หลังจากนั้น พัฒนาอุปกรณ์การขาย คนขาย  แพคเกจ พัฒนาด้านการขนส่งให้ทันสมัย ก็จะขายได้ทั้งในท้องถิ่น และกระจายไปยังท้องถิ่นอื่นๆได้  คนก็จะกินไอติมกะทิเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ


และถ้าหากเพิ่มไอเดียที่แตกต่างเข้าไป และคงเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ ยกระดับมาตรฐานการผลิตให้ได้มาตรฐานเมืองนอก ไอติมท้องถิ่นของไทยอย่างไอติมกะทิ ไปสู่ไอติมอินเตอร์นั้นมีความเป็นไปได้สูง เพราะไอติมไทยอร่อยไม่แพ้ใครในโลก และไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ผู้ผลิตรายย่อยอย่างเราๆท่านๆ ก็ไปถึงจุดนั้นได้อย่างแน่นอน  หากเราตั้งใจพัฒนามมาตรฐานผลิตภัณฑ์ของเรา...

 

 พนิต ใจคนึง

14/11/2559

 

Visitors: 1,166,471